• 17 กันยายน 2019 at 00:05
  • 1221
  • 0

 

ทำไม.........ต้องมีโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่...(ตอนที่ 1)

 

โดย      นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

เช้าวันที่ 26 สิงหาคม  2562  ครูได้นัดสัมภาษณ์ให้กับทีมงานของ “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”  ซึ่งเป็นกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561  คำถามที่ครู ถูกถามคือ  “ทำไม.........ต้องมีโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่”

         “ สำหรับครูเอง ต้องใช้เวลาทบทวนว่า  ทำไม....ครูต้องคิด ต้องทำ และต้องมีโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่”  คงต้องเริ่มตั้งแต่ครูมาสมัครเป็นอาสาสมัคร ในราวเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.2531  หน้าที่ครูเริ่มแรกในการทำงาน คือ โครงการครูเดินสอนในแหล่งก่อสร้าง  หน้าที่คือเดินหิ้วกระเป๋า หรือ สิ่งของ  ซึ่งเริ่มงานครั้งแรกที่บริษัทปรีชา  สอนในแหล่งก่อสร้างที่หมู่บ้านปรีชา 9 เขตมีนบุรี  ในขณะนั้นไม่มีโรงเรียน ครูกับเพื่อนครูต้องอาศัยห้องพักที่ร้างของคนงานก่อสร้าง เป็นโรงเรียนชั่วคราว ในการสอนหนังสือเด็กๆ ที่ติดตามพ่อแม่มาทำงานในแหล่งก่อสร้าง

 

 

          หลังจากนั้นตัวครูก็ย้ายไปเปิดศูนย์เด็กก่อสร้างแห่งใหม่ ที่พุทธมณฑล สาย 2 ในเขตการก่อสร้างหมู่บ้านชวนชื่น ของบริษัทมั่นคงเคหะการ  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการครูเดินสอนในแหล่งก่อสร้าง  ที่เจ้าของโครการก่อสร้างเข้ามามีส่วนร่วมในการออกค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารกลางวัน  ซึ่งกลายมาเป็นรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าของโครงการก่อสร้างกับทางโครงการครูเดินสอนในแหล่งก่อสร้าง  ในเรื่องของการสนับสนุนงบประมาณค่าอาหาร ค่าเงินเดือนครู ค่าทัศนศึกษา และรักษาพยาบาล

           จนเมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาที่ทางโครงการครูเดินสอนในแหล่งก่อสร้าง ขยายงานไปยังสำนักพัฒนาสังคม  กรุงเทพมหานคร  เป็นเจ้าของพื้นที่ ที่อนุญาตให้มีการก่อสร้าง และดำริว่าควรที่จะมีศูนย์เด็กก่อสร้าง  และเปิดรับเจ้าหน้าที่ให้พักตามสถานที่ก่อสร้าง  ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กก็ได้เริ่มโครงการรถสัญจร  ไปตามแหล่งก่อสร้างด้วยเช่นกัน โดย Save the Children  Japan  ได้ให้งบประมาณในการดำเนินการจำนวนหนึ่งในการซื้อรถยนต์เพื่อตระเวนไปตามแหล่งก่อสร้าง โดยเข้าไปให้ความรู้กับคนงานก่อสร้างเรื่องการวางแผนครอบครัว  โรคที่อาจเกิดในแหล่งก่อสร้าง  โดยอาศัยเครื่องฉายหนัง 16 มิล  พร้อมทั้งขอยืมฟิลม์มาจากหน่วยงานต่างๆ เป็นแผ่นฉาย

 

          สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการเสริมบทบาทของครูศูนย์เด็กก่อสร้างในการทำงานกับผู้ปกครองเด็ก  โดยการอาศัยสื่อต่างๆ  พร้อมการแลกเปลี่ยนข้อมูล

           เมื่อปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทลดลง  ส่งผลกระทบกับงานก่อสร้าง และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน  ทำให้ศูนย์เด็กก่อสร้างต้องยุติการทำงาน  เพราะไม่มีงบประมาณในการดำเนินการ  และต้องยุติเพราะคนงานก่อสร้างกลับไปยังชนบท  ไม่มีเด็ก พร้อมทั้งแหล่งก่อสร้างต่างๆ

           เมื่อปลายปี พ.ศ. 2549  เริ่มมีบริษัทก่อสร้าง ได้ติดต่อที่อยากจะเปิดศูนย์เด็กก่อสร้างอีกครั้ง โดยเฉพาะเจ้าของนารายณ์ พร๊อพเพอตี้  ผู้สร้างโครงการเดอะพารค์แลนด์ศรีนครินทร์  ซึ่งใช้ระยะเวลาการก่อสร้างจำนวน 3 ปี พร้อมอาคารสถานที่ กับงบประมาณสนับสนุนอีกครั้ง   สุดท้ายทางบริษัทยุติการสนับสนุนตั้งแต่ปี 2554  ทางโครงการพยายามหางบประมาณเพื่อให้โครงการศูนย์เด็กก่อสร้างเดินต่อได้ในปี 2556 และ 2557  จาก “กองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ ”  และประคับประคองโครงการฯให้ดำเนินต่อได้ จนปลายปี 2559 บริษัทหันมาให้การสนับสนุนโครงการอีกครั้ง

 

 

          เดือนมีนาคม 2559  ทางกรรมการผู้จัดการบริษัทนารายณ์  มาพบกับครูพร้อมมาเลี้ยงอาหารเด็กที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้พบกับครูจิ๋วอีกครั้ง และได้ถามว่าอยากทำอะไร  ครูก็บอกทันที่ว่า  อยากได้รถลงพื้นที่ไปตามแหล่งก่อสร้าง  ที่ต้องการเปิดศูนย์เด็กก่อสร้าง แต่ทางโครงการไม่สามารถเปิดศูนย์เด็กก่อสร้างด้วยงบประมาณที่สูงมากในแต่ละเดือน และหาคนที่จะต้องจัดการเรียนการสอน ที่จะนอนในแหล่งก่อสร้าง  หาคนทำงานไม่ได้เลย  มีแต่จะเข้ามาสอนเวลา เก้าโมงเช้า กลับสี่โมงเย็น  เด็กได้ประโยชน์ไม่เต็มที่ และครูกับผู้ปกครองเด็กไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย

           ทางบริษัทนารายณ์พร๊อพเพอตี้ ได้มอบรถ โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ พร้อมทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอน  ทีวีเครื่องเสียงประจำรถให้ทางโครงการฯ

           สำหรับครูที่จะมาทำงานกับโครงการจริงๆ พร้อมดำเนินการในวันที่ 1 มิถุนายน 2560  พร้อมทั้งวางแผนการดำเนินการแบบครบทุกวัน มีพื้นที่โดยตรง ปี พ.ศ. 2560 จนถึงสิ้นที่ 2561 จำนวนพื้นที่จำนวน 12 พื้นที่ และมีพื้นที่สำรวจอีก 6 พื้นที่

  

          ในปี พ.ศ. 2562  มีพื้นที่ลงไปดำเนินจำนวน 16 พื้นที่ จัดเป็นพื้นที่ลงจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การเสริมทักษะ จำนวน 8 พื้นที่  อีก 8 พื้นที่สัญจรเป็นช่วงเวลา เนื่องจากมีเด็กจำนวนน้อยและการก่อสร้างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น    

กิจกรรมที่ทางโครงการดำเนินการ

           ด้านการศึกษาสำหรับเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง

          1.ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ดำเนินการ  คือนำโรงเรียนเด็กก่อสร้างที่เป็นรถเคลื่อนที่ไปทุกสองอาทิตย์พบกัน 1 ครั้ง พร้อมการเสริมทักษะ การเล่น ของเล่นเป็นสิ่งที่เด็กโหยหาแม้จะเป็นของเล่นมือสอง-มือสามแล้วก็ตาม  การทำกิจกรรม การเล่านิทาน  การร้อยสร้อย   การระบายสี  เป็น เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรม ตั้งแต่ มกราคม-สิงหาคม 2562 จำนวน 165 คน เด็กไทยจำนวน 94 คน เด็กกัมพูชา จำนวน 71 คน

          2.การประสานงานในเรื่องให้เด็กได้รับการศึกษา หรือจัดหาอุปกรณ์การเรียนให้เด็ก เช่นโรงเรียนเปรมประชา โรงเรียนประชาอุทิศ  โรงเรียนวัดสร้อยทอง โรงเรียนวัดนครอินทร์   โรงเรียนบ้านบึงพัทยา  และทั้งประสานงานหางบประมาณ สำหรับเด็กกัมพูชาที่เข้าเรียน โรงเรียนสามัคคีบำรุงราษฎร์  จำนวน 2 คน

          3.ประสานงานและส่งต่อเด็กเร่ร่อน จำนวน 2 คน  เพื่อให้เด็กได้รับโอกาสที่ดีในการดำเนินชีวิต  เด็กชายชาตรีฯ ทำงานร่วมกับทีมบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพในการรักษาเรื่องการเรียนรู้บกพร่อง  ต้องมีการตรวจสุขภาพจิตของแม่และของเด็ก  ผลออกมาจำเป็นต้องส่งเด็กเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 

          4.ประสานงานในการจัดหาอุปกรณ์การเรียนให้กับกลุ่มเด็กที่เข้าเรียนในระบบการศึกษา จำนวน 36 คน  ซึ่งมีกระเป๋า รองเท้าเท่าที่ทางโครงการฯมี สมุด อุปกรณ์การเรียน สีไม้ สีเทียน  สำหรับการจัดหาชุดนักเรียน ชุดปฏิบัติธรรม ชุดเสื้อผ้าตามจังหวัด  ขอพิจารณาเป็นรายกรณี  สิ่งที่ต้องจ่ายค่าใช้จ่าย  โดยเฉพาะเด็กชาวกัมพูชาที่เข้าเรียนจำนวน 2 คน ที่โรงเรียนสามัคคีบำรุงราษฎร จังหวัดปทุมธานี  ทางโครงการฯ จ่ายร่วมกับครอบครัวจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์

 

          ด้านการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน  เด็กพิการ

             1.ในด้านการเยี่ยมเยียน เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจในการดูแล  ให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการเลี้ยงดูแลเด็กที่พิการ และพิการแบบติดเตียง การแบ่งปัน ข้าวสารอาหารแห้ง นม ขนมหวาน  ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และเครื่องใช้สำหรับเด็ก สบู่ ยาสีฟัน  เป็นครั้งคราว

           2.แนะนำครอบครัวของเด็กหญิงพนทิพา  อาจเค  มีความพิการทางสมอง ที่เกิดจากอาการชัก  ในช่วงอายุ 5 ปี  ซึ่งเป็นผลมาจากไข้สูง แล้วไม่ได้พาไปหาหมอ เพียงแค่ให้กินยาแก้ปวด  จึงส่งผลกลายเป็นพิการ  ทั้งครอบครัวพยายามให้เด็กได้เข้าถึง  ตั้งแต่บัตรคนพิการ  การทำบัตรประชาชนที่ควรได้รับการดูแล  ทางโครงการลงเยี่ยมสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

           3.แนะนำครอบครัวของเด็กชายวิชา  นิยมพันธ์  มีความพิการทางสมองตั้งแต่กำเนิด   แม่เด็กได้ปรึกษาคุณหมอในการรักษาพยาบาลตลอด  แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่ารักษาตามอาการที่เกิดของเด็ก  แต่ครอบครัวก็ดูแลเด็กอย่างต่อเนื่อง  พาไปฝึกการเดิน การช่วยเหลือตนเอง  แต่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงด้วย  เสียงญาติพี่น้องหลายคนก็บอกว่าส่งเด็กน้อยให้ไปอยู่สถานสงเคราะห์เถอะ  พ่อกับแม่พูดว่า  ดูแลกันไปจนตาย  สิ้นบุญสิ้นวาสนาก็ หมดเวรหมดกรรม

           คำบอกเล่าที่กล่าวมาข้างต้นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่เท่านั้น  ย้อนกลับไปที่น้องนักข่าวว่า  อยากฟังต่อไหม

 

          น้องนักข่าว  รถโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่คันเดียว สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในการทำงานได้อย่างมากเลย

          อย่างไรของติดตามการลงพื้นที่และรู้เรื่องข้อมูลในรายละเอียด  ครูเล่าได้สนุกมาก  อนุญาตที่จะลงในสื่อต่างๆเป็นตอนๆ ไป